วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประเพณีบุญบั้งไฟ


ประเพณีบุญบั้งไฟ
ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือประเพณียิงจรวดไทยขอฝนนี้ ความจริงไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของชาวเมืองยโสธร แต่เป็นฮีด(จารีต)สำคัญ ฮีดหนึ่งของชาวอีสานทั่วทั้งภูมิภาค หากแต่ชาวยโสธรโยเฉพาะชาวคุ้มบ้านต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมืองนั้นให้ความสำคัญ และร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานอย่างแข็งขัน จนทำให้ประเพณีบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และในที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชนอีกหลาย ๆ ส่วน
บุญบั้งไฟยโสธร จึงเลื่อนฐานะขึ้นเป็นประเพณีสำคัญของประเทศ เป็นตัวแทนจากภาคอีสานที่เชิดหน้าชูตาในด้านวัฒนธรรมประเพณีของชาติ


รูปแบบประเพณี
ในวันนี้ ประเพณีบุญบั้งไฟ แบ่งงานออกเป็นงานใหญ่ ๆ สองงานด้วยกันคือวันแรก เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น. เป็นขบวนแห่บั้งไฟสวยงามไปตามถนนสายหลักใจกลางเมือง
ในวันนี้ชาวบ้านจากคุ้มต่าง ๆ จะนำบั้งไฟขึ้นขบวนรถที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามเป็นลวดลายไทยงามวิจิตร นำแห่แหนด้วยขบวนรำประกอบดนตรีพื้นเมือง บนขบวนรถบางทีจะเป็นธิดาบั้งไฟโก้ เทพบุตรเทพธดาตัวน้อย ๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวจำลองจากนิยายพื้นบ้านปรัมปรา เช่นเรื่องท้าวผาแดง นางไอ่ เป็นต้น นอกจากนี้ที่จะขาดไม่ได้ก็คือขบวนรีวิวประเภทเนื้อหาสาระและตลกขบขันต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ชาวเมืองที่ต่างอายุกันได้มีโอกาสเข้าร่วมงานอย่างเสมอหน้าและ มาประกวดประชันกันอย่งสนุกสนาน
ส่วนวันที่สองเริ่มแต่เช้าที่สวนพญาแถนเป็นการประกวดการจุดบั้งไฟ มีการประกวดบั้งไฟขึ้นสูงแบะยั้งไฟแฟนซีต่าง ๆ ในขณะที่ชาวบ้านชาวคุ้มต่าง ๆ ก็จะยกขบวนออกร้องรำทำเพลงกันตลอดทั้งวันอย่างสนุกสนาน

จุดเด่นของพิธีกรรม
จุดเด่นของการชมประเพณีบุญบั้งไฟ อยู่ที่ช่วงเช้าของวันแรกคือวันแห่บั้งไฟสวยงาม สามารถชมได้ที่ปะรำพอธีถนนใจกลางเมือง และช่วงเช้าวันที่สอง คือการจุดบั้งไฟขึ้นสูงที่สวนสาธารณะพญาแถน

ตำนานเรื่องเล่า
ตำนานของประเพณีบุญบั้งไฟ ผูกพันกับนิทานพื้นบ้านสองเรื่องคือเรื่องท้าวผาแดงนางไอ่ และเรื่องสงครามระหว่างพญาคันคากกับพญาแถน ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงที่มาของการยิงบั้งไฟเลยทีเดียว
ตำนานเรื่องนี้เริ่มจากพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพญาคันคาก (คางคก) อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ครั้งนั้น พญาแถน เทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ผู้ดลบันดาลให้ฝนตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตกเลยตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ชาวเมืองทนไม่ไหวจึงคิดทำสงครามกับพญาแถน แต่สู้พญาแถนกับกองทัพเทวดาไม่ได้ ถูกไล่ล่าหนีมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่พญาคันคากอาศัยอยู่
ในที่สุดพญาคันคากตกลงใจเป็นจอมทัพของชาวโลกต่อสู้กับพญาแถน
พญาคันคากให้พญาปลวกก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ให้พญามอดไม้ไปทำลายด้ามอาวุธของทหารและอาวุธพญาแถน และให้พญาผึ้ง ต่อ แตนไปต่อยทหารและพญาแถนฝ่ายเทวดาพ่ายแพ้ พญาแถนจึงให้คำมั่นยีร หากมนุษย์ยิงบั้งไฟขึ้นไปเตือนเมื่อไรจะรีบบันดาลให้ฝนตกลงมาให้ทันทีและถ้ากบเขียดร้องก็ถือเป็นสัญญาณว่าฝนได้ตกลงถึงพื้นแล้ว
และเมื่อใดที่ชาวเมืองเล่นว่าวก็เป็นสัญญานแห่งการหมดสิ้นฤดูฝน พญาแถนก็บันดาลให้ฝนหยุดตก

การออกกำลังกาย




การออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการไปเข้าศูนย์ฟิตเนสชั้นนำต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเกลื่อนกราดในยุคสมัยนี้เสมอไป การออกกำลังกายนั้น แค่เราทำงานบ้านที่บ้านตัวเองนั้น ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ได้ผล และเกิดสัมฤทธิ์ผลที่ดีที่สุดแล้ว

แต่ที่ดิฉันจะนำเสนอในวันนี้คือ การเต้น ,, เมื่อพูดถึงการเต้น เชื่อว่าใครหลายคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเต้นไม่ได้ เต้นไม่เป็น เป็นเรื่องที่ไกลตัว ทำไม่ได้แน่ ๆ .........เปลี่ยนความคิดซะ !!!

ดิฉันก้อไม่ได้เกิดมาแล้วเต้นเป็นเลยแต่อย่างไร เรื่องแบบนี้ฝึกและฝนเอาก็สำเร็จแล้วล่ะค่ะ ที่ดิฉันเชียร์ให้ออกกำลังกายด้วยการเต้นนั้น เป็นเพราะว่า
หนึ่ง ~ ทำให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งไม่น่าเบื่อ
สอง ~ ท้าทายตนเองและร่างกายตนเอง
สาม ~ เกิดผลลัพธ์ที่ดี (การันตีด้วยตัวเองเลยข้อนี้)
สี่ ~ เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้จริง และเปนไปได้จริง

สูตรผมสวย


สูตรผมสวย
การแปรงผมบ่อย ๆ จะไปช่วยกระตุ้นต่อมไขมันบนหนังศีรษะให้เร่งผลิตน้ำมันตามธรรมชาติมาบำรุงเส้นผมให้เงางามและนุ่มสลวย แต่ในอดีตนั้นยังไม่มีพัฒนาการในเรื่องของการทำสีผม หรือการทำเคมีต่าง ๆ กับเส้นผม เส้นผมเป็นผมธรรมชาติจึงสามารถใช้วิธีนี้ได้ แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ที่หลายคนนิยมทำเคมีผมทำให้เส้นผมแตกปลายได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการดูแลรักษาเส้นผมอย่างแท้จริง จึงขอแนะนำว่าควรแปรงผมเป็นประจำแค่ช่วงเช้าและเย็น เพื่อขจัดฝุ่นผงและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากเส้นผม แต่ทั้งนี้ไม่ควรแปรงผมขณะที่ผมเปียกเพราะขณะนั้นเส้นผมจะมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งทำให้เส้นผมแตกหักได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเลือกแปรงให้เหมาะกับลักษณะเส้นผมหรือทรงผมก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน

ผมยาว ควรเลือกแปรงที่มีขนแปรงเป็นเหล็กและบุด้วยยาง จะช่วยให้เส้นผมไม่พันกันขณะหวี ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตที่ทำให้ผมชี้ฟูไม่เป็นทรงได้ด้วย หรือถ้าต้องการจัดทรงก็ควรใช้แปรงกลมขนาดใหญ่ที่ช่วยให้จัดทรงได้ง่ายขึ้น และทำให้ปลายผมได้รูปสวยไม่ชี้ไปชี้มา
ผมยาวประบ่า ควรเลือกแปรงที่มีขนแปรงเรียวเล็กและบุด้านหลังด้วยยาง ถ้าขนแปรงยาวจะช่วยให้เส้นผมไม่พันกัน ส่วนขนแปรงสั้นจะช่วยให้ผิวของเส้นผมเรียบลื่นนุ่มสลวยตลอดเส้น
ผมสั้น ควรเลือกแปรงที่มีรูปรงสี่เหลี่ยม ขนแปรงสั้นยาวสลับกัน จะช่วยยกโคนผมให้ดูมีวอลลุ่มและไม่ลีบแบน
ผมหยักศก ควรเลือกใช้หวีที่มีลักษณะคล้ายคราดแทนแปรง โดยเลือกที่ด้ามหวีกว้าง แบน และห่าง เพราะหวีลักษณะนี้จะช่วยรักษาสภาพลอนผมให้เป็นทรงไม่ฟูได้เป็นอย่างดี
ผมมัน ให้นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก แล้วนำเจลไปปั่นจากนั้นตักมา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้อยู่อีก 1 ถ้วยตวงแล้วนำไปสระผมตามปกติ จะช่วยให้เส้นผมมีสมดุลดีขึ้น ไม่แห้งและไม่มันเช่นเดิม
ผมแห้ง นำอโวคาโด 1 ผลมาปอกเปลือกและบดให้ละเอียด ผสมกับกะทิจนเป็นเนื้อเดียวกันใช้หมักผมหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้วโดยนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมให้เป็นระเบียบแล้วทิ้งไว้ 15 นาทีจึงล้างออก
ผมจัดทรงยาก ปั่นครีมนวดผม 1/2 ถ้วยตวงเข้ากับน้ำผึ้ง 1/2 ถ้วยตวงและน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มานวดเส้นผมและหนังศีรษะขณะเปียกให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก
ผมไร้น้ำหนัก ใช้น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวง ผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ล้างผมในน้ำสุดท้ายของการสระผมจะทำให้เส้นผมนุ่นเป็นประกายเงางาม
ผมมีรังแค หลังจากสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคตามปกติแล้ว ให้ใช้ชาโรสแมรี่ที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วมาล้างผมในน้ำสุดท้าย หรือใช้ชาโรสแมรี่ผสมกับแชมพูในอัตราส่วน 70 ต่อ 30 ก็ได้

เทคนิคการทาเล็บ


เทคนิคการทาเล็บ
ก่อนที่จะบรรจงแต่งแต้มเฉดสีลงบนเล็บของเรา ควรแช่มือในอ่างน้ำที่บีบมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไว้สักพักนึง ซึ่งจะช่วยให้เล็บอ่อนนุ่มขึ้น การใช้น้ำยารองพื้นทาเล็บเป็นชั้นแรกก็ถือเป็นการดูแลเล็บที่ดี เพราะเวลาทาเล็บสีเข้มๆ เล็บมักจะเหลืองง่าย แต่ถ้าเราทาลองพื้นไว้ก่อนก็จะช่วยบรรเทาอาการเล็บเหลืองได้ แล้วเวลาที่ ทาสีเล็บก็ไม่ควรป้ายเกิน 3 ครั้ง เพราะสีจะจับเป็นก้อนไม่เรียบเสมอกัน รวมถึงอย่าลงสีเล็บเกิน 2 ชั้นเพราะจะดูหนาไป ไม่สวย ควรทาน้ำยาเคลือบเล็บหลังจากทาสีเสร็จแล้วด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มความเงางามวิบวับให้กับเล็บ แถมยังป้องกันสีเล็บจางจากแสงแดดอันร้อนระอุ อีกด้วย แล้วถ้ายาทาเล็บในขวดใสๆ ระเหยจนข้นเหนียว ก็ให้หยดทินเนอร์ลงซักเล็กน้อยก่อนจะเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ก็สามารถใช้ทาต่อได้วิธีการเก็บยาทาเล็บที่ดีควรจะปิดฝาให้สนิทก่อนจะเก็บไว้ในที่เย็น ห่างไกลแสงแดด อย่างเช่นช่องเล็กในตู้เย็น การเลือกยาทาเล็บ ควรดูส่วนผสมด้วยค่ะ ยาทาเล็บที่ดีไม่ควรมีแอลกอฮอล์ เพราะว่าแอลกอฮอล์จะเป็นตัวทำให้ผิวเล็บแห้งและเปราะง่าย

ลักษณะผิวของคนเราไม่เหมือนกัน การเลือกอาหารที่จะมาบำรุงผิวก็เลยต้องแตกต่างกันไปด้วย



ลักษณะผิวของคนเราไม่เหมือนกัน การเลือกอาหารที่จะมาบำรุงผิวก็เลยต้องแตกต่างกันไปด้วย

สาวผิวแห้ง

DO ทานปลาน้ำลึกที่มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า รวมทั้งเมล็ดธัญพืช ถั่วเปลือกแข็งที่มีไขมันชนิดดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

Don't เลิกทานของมัน ของทอด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย เค้ก กล้วยแขก ขาหมู เพราะน้ำมันจากอาหารพวกนี้เป็นน้ำมันชนิดเลวที่จะทำให้ผิวหนังอ่อนแอ ดูหมองไม่มีน้ำมีนวลยิ่งกว่าเดิม

สาวผิวมัน

Do ทานผักผลไม้สดๆ ที่มีวิตามินซีสูง เพื่อบำรุงเซลล์ให้แข็งแรง ถ้าร่างกายได้สมดุล อาการผิวมันจะค่อยๆ ลดลงเอง

Don't งดอาหารประเภทที่มีไขมันอิ่มตัว อย่างเนื้อแดง ไขมันสัตว์ ของทอด นมชนิดไม่พร่องมันเลย อาหารพวกนี้จะทำให้ผิวขาดสมดุล และยังกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากจนหน้าสวยๆ ของคุณมันเยิ้มทอดไข่ได้เลย

สาวผิวแพ้ง่าย

Do คนผิวแพ้ง่ายถูกโฉลกกับอาหารที่มีวิตามินเอและซีมากๆ เช่น แครอท มะม่วง กีวี เนื้อสัตว์ ข้าวโอ๊ต และถั่วเปลือกแข็ง อาหารพวกนี้มีธาตุสังกะสีที่จะเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์ผิว

Don't พอกันทีกับอาหารรสจัด เปรี้ยวจี๊ดเผ็ดซี้ดซ้าด หรือเค็มปี๋ เพราะของพวกนี้มีแต่จะทำให้ระบบการย่อยของร่างกายเกิดการระคายเคือง เยื่อเซลล์บุอักเสบ ผิวพรรณก็เลยหมองหมดออร่าไปด้วย

4 เคล็ดลับลดน้ำหนักช่วงหน้าร้อน

4 เคล็ดลับลดน้ำหนักช่วงหน้าร้อน





4 เคล็ดลับลดน้ำหนักช่วงหน้าร้อน

ถึงหน้าร้อนทีไร ใคร ๆ ก็คงอยากจะมีหุ่นสวยใส่บิกินีตัวจิ๋วไปอวดสรีระอันเช้งวับ แต่ถ้าคุณยังมีพุงกะทิน้อยๆ อยู่ล่ะก็ ลองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช้ซัมเมอร์นี้มาลดความอ้วนกันซะเลย ด้วย 4 วิธีที่ทั้งสนุกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอหุ่นสวยก่อนจะถึงหน้าร้อนปีหน้า



ดื่มน้ำเยอะ ๆ เข้าไว้ ยิ่งร้อนก็ยิ่งกระหายน้ำ ดื่มเข้าไปเยอะ ๆ เลยค่ะ เพราะนอกจากน้ำจะไม่มีแคลอรียังทำให้ระบบการย่อยอาหารของคุณดีด้วย ควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มชูกำลังเมื่อเสียเหงื่อมาก ๆ เพราะความหวานจากน้ำตาลคือตัวการสำคัญที่ทำให้อ้วนเลยล่ะ


ลงไปว่ายในสระน้ำ หลีกเลี่ยงการน้ำในทะเล หรือทะเลสาบไปก่อน ถ้าคุณอยากลดน้ำหนักให้ไปว่ายในสระน้ำแทน เพราะการว่ายในสระจะได้ท่วงท่าและวัดปริมาณการออกกำลังได้มากกว่า ด้วยขนาดจำกัดของพื้นที่สระทำให้ได้ผลที่รวดเร็ว


ออกไปเรียกเหงื่อข้างนอกสิ แดดร้อน ๆ นี่แหละดี อย่ามัวเก็บตัวอยู่ในห้อง ไปออกกำลังกายด้วยการเดินหรือวิ่งในสวนก็ได้ หน้าร้อนแบบนี้การออกกำลังกายกลางแจ้งกลับได้ผลดีกว่าการไปฟิตเนส และต้องอย่าลืมพกน้ำดื่มติดตัวไปด้วย เพราะหน้าร้อนจะยิ่งทำให้คุณเสียเหงื่อมาก และอาจจะเป็นลมกลางแดดได้


หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ปาร์ตี้หน้าร้อนขาดไม่ได้ที่จะต้องมีเครื่องดื่มมึนเมา แต่รู้ไหมว่าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี่แหละ เป็นตัวกักเก็บระบบเผาผลาญไขมันของคุณดีทีเดียว ที่สำคัญแอลกอฮอล์ยังทำให้คุณรู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลาด้วย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงปาร์ตี้สุดมันไม่ได้จริง ๆ แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดตามไปพร้อม ๆ กัน

แต่งตัวอย่างไร ให้ดูผิวขาว


แต่งตัวอย่างไร ให้ดูผิวขาว





คนทุกเพศทุกวัย ใครๆก็อยากที่จะมีผิวขาวกันเนอะ เพราะผิวขาวน่ะจะใส่อะไรก็สวย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า โอ๊ย!…สารพัด แต่คนผิวเข้มหรือผิวคล้ำก็ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจไป มีวิธีในการแต่งตัวให้ดูดีได้ไม่แพ้คนผิวขาวแน่นอน



เริ่มด้วยสีสันของเสื้อผ้ากันดีกว่า สำหรับคนผิวขาวจะเลือกแต่งสีสันสดใสยังไงก็ได้ ในขณะที่คนผิวคล้ำต้องเลือกสีสันที่ไม่ตัดกันจนเกินไป เพียงแค่ปรับเอาสีสันมาใส่กะสีพื้นๆเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เสื้อสีนู๊ดๆ กับ กระโปรงสีดำมีโบว์เล็กๆน่ารักหรือกางเกงยืนฟอก(ที่สีซีดๆน่ะจ๊ะ)ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน และที่สำคัญยังดูโดดเด่นและดูดีได้อีกด้วยนะ

การจะแต่งตัวให้ดูดีนั้นต้องมาควบคู่กับความมั่นใจนะจ๊ะ แต่ละคนไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวคล้ำก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน เราจึงควรที่จะดึงจุดเด่นของตัวเองออกมานะคะ อย่างเช่น ผิวคล้ำแต่ขาสวย ก็อาจจะเลือกใส่กระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นก็ดูสวยมั่นใจและโฉบเฉี่ยว หรือถ้าผิวคล้ำเรียบเนียนก็ลองใส่เสื้อเปิดไหล่ดูสิ ดูดีไปอีกแบบคะ

มาดูเครื่องประดับกันบ้างดีกว่าคะ เครื่องประดับเป็นสิ่งที่ช่วยให้การแต่งตัวให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้น และยังช่วยขับผิวอีกด้วยนะ เช่น สร้อยไข่มุก เสื้อผ้าที่ใส่ก็ควรเป็นแบบเปิดหน่อยค่ะ เช่น เสื้อแขนกุด สายเดี่ยว เกาะอก เป็นต้นค่ะ เพราะไม่เหมาะกับเสื้อผ้าหนักๆ สวมทับหลายๆตัวอย่าง เสื้อเชิ้ตใส่สูททับ

แค่นี้เราก็ดูดีได้ในสไตล์ของตัวเองแล้วนะค่ะ เพียงแค่เรารู้จักจับนู่นแต่งนี่ให้เข้ากับบุคลิก ดึงจุดเด่น ลบจุดด้อย ก็สวยไม่แพ้ใครแล้วคะ

ถั่วเขียว...ลบจุดด่างดำ




ถั่วเขียว...ลบจุดด่างดำ
หากคุณแม่หรือคุณยายเคยทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้กิน เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับถั่วเม็ดเล็กๆนี้เป็นอย่างดี

โบราณกินถั่วเขียวเพื่อช่วยเยียวยาสารพัดอาการ ถั่วเขียวนอกจากเป็นอาหารแล้วจึงเป็นยาไปในตัว สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง ต้องออกแดดบ่อยๆ จนเกิดจุดด่างดำบนผิว หรือการเผลอไปบีบสิวจนมีรอยดำๆ ทิ้งไว้ หรือแม้แต่รอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย ถั่วเขียวก็ยังช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพียงแต่ทำตามสูตรง่ายๆที่นำมาฝากวันนี้ค่ะ

ส่วนผสม

ถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ
มันฝรั่ง 1 หัว
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา

วิธีทำ

ทำได้ง่ายๆ โดยนำถั่วเขียวและมันฝรั่งมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก แต่ไม่ต้องถึงกับเปื่อย จากนั้นนำถั่วเขียวและเนื้อมันฝรั่งที่ได้มาบดรวมกัน โดยไม่ต้องให้ละเอียดนัก เติมน้ำมันมะกอกลงไป ผสมจนเข้ากันดี

วิธีใช้

นำมาขัดผิวกายโดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดด่างดำ ใช้เวลาขัดประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วอาบน้ำหรือล้างออกด้วยสบู่ตามปกติ ส่วนผสมที่มีเนื้อและเปลือกถั่วเขียวที่บดหยาบๆ ผสมกับเส้นใยของมันฝรั่งบด จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ เลือนหายไป






เคล็ดลับขจัดความมันบนเส้นผม
สาวๆ ที่กลุ้มใจกับสภาพเส้นผมที่มันเยิ้มมั่กๆ ขนาดเพิ่งสระผมมาตอนเช้าพอตกเย็นก็แปรสภาพไปซะแล้ว ทำให้ไม่มั่นใจเอาซะเลยค่ะ ไปไหนก็ต้องคอยรวบผม หมดโอกาสโชว์ผมยาวสลวยเลยซิคะ

ดูแลผิวแก้มใส … ให้ห่างไกลจุดด่างดำ


ดูแลผิวแก้มใส … ให้ห่างไกลจุดด่างดำ




ควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป

ควรใช้ครีมที่มีส่วนผสม AHA

บริโภคอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ , วิตามิน A C และ E , เซเลเนี่ยมและฟลาเวอนอย จะช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลายโดยแสงแดด

ควรใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ HYDROXYQUINONE วันละ 2 ครั้ง อย่างน้อย 6-8 อาทิตย์ จะช่วยเจือจางจุดสีน้ำตาลบนผิวได้

ควรใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลบเลือนรอยย่น และจุดด่างดำ

ปรึกษาแพทย์ในกรณีที่คุณ อยากกำจัดจุดด่างดำบนผิวหน้าให้หมดไปอย่างถาวร

ปรึกษาแพทย์ด่วน หากพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับริ้วรอยจุดด่างดำ เช่น คัน หรือขยาย -ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้

การมาสก์หน้า


ได้ไอเดียดีๆ กันแล้วจากนี้ไปทุกคนคงเตรียมพร้อมรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต ด้วยความสดใสเปล่งปลั่งของสุขภาพผิวที่ดี และรอยยิ้มสดใสของสุขภาพกายแถมมาอีกด้วย

มาทำความรู้จักกับ ‘การมาสก์หน้า’ กันก่อน

การมาสก์หน้า เป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว ให้ผิวได้พักผ่อน และดูดซึมคุณค่าจากสารบำรุงที่เราพอกลงบนผิว ควรทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะสารบำรุงจากธรรมชาติ มีของ อร่อยหลายๆ อย่างที่จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผิวหน้าเรา ว้าว...ชักจะเริ่มมองเห็นประโยชน์ของการมาสก์หน้ากันแล้วสิ คุณสาวๆ คงต้องลองทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผิวหน้าได้ดูดซึมสารอาหารอย่างต่อเนื่อง จะได้มีผิวหน้านุ่มๆ เอาไว้อวดความสวยใส ชนิดที่ใครๆ ต้องเหลียวมอง

สูตรน้ำผึ้ง : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียวนวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด

สูตรแอปเปิ้ล : ปอกแอปเปิ้ลคว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้าง ตามด้วยน้ำสะอาดอีกที

สูตรแตงโม : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

สูตรไข่ขาว : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่มจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือพอไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

สูตรมะเขือเทศ : ฝานมะเขือเทศชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

สูตรโยเกิร์ต : สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้นสดๆ 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกทั้งหน้า ทิ้งไว้ 15–20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

สครับผิวสวยจากธรรมชาติ


สครับผิวสวยจากธรรมชาติ

การสครับผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เป็นวิธีเผยผิวใหม่ให้มีความชุ่มชื่น นุ่มนวล ซึ่งส่วนมากนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสารสกัดจากธรรมชาติ เพราะจะได้เม็ดสครับที่มีขนาดเล็ก ลดการเสียดสีระหว่างเม็ดสครับกับผิว พร้อมมีสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยย่อยสลายเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนละมุน ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผิวจึงเนียนใสและมีสุขภาพดี ซึ่งสารสกัดจากธรรมชาติที่นิยมนำใช้ในการสครับผิวมีดังต่อไปนี้

“เมล็ดกาแฟ” มนต์มหัศจรรย์ของกาแฟอีน กาแฟมีคุณสมบัติในการรักษาและถนอมผิว ด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวขจัดพิษให้กับผิวชั้นนอก และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวชั้นในให้ดูเปล่งปลั่ง พร้อมปรับสภาพความดันโลหิตและกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ชั้นผิวด้วย

“ใบชาเขียว” สมุนไพรสุดฮิตของคนตะวันออก มีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง โดยจะขับสารแอนตี้ออกซิแดนท์ โพลีฟีนอล ที่มีความสามารถในการฟอกออกซิเจนให้ผิวกลับมาเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ ยังมีสารกาเฟอีนและสารฝาดแคททิคิน ที่ช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกายให้ดีขึ้น เผาผลาญไขมัน ลดริ้วรอยในชั้นผิว ทำให้ผิวกระจ่างและสมบูรณ์ขึ้น

“ลาเวนเดอร์“ เอสเซนเชียลออยล์แห่งการบำบัด มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและผ่อนคลายร่างกายไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดอาการปวดหัวและไมเกรน ควบคุมและปรับสมดุลระบบทำงานของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย

“ผลส้ม” อุดมด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ โดยเฉพาะ วิตามีนซี ที่มีสารช่วยขจัดความหมองคล้ำของผิวพรรณ บำรุงผิวใหม่ให้ขาวเนียน และลบรอยแห้งกร้าน ทำให้ผิวพรรณแข็งแรงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

เคล็ดลับดูแลผิวสวยด้วยธรรมชาติ

เคล็ดลับดูแลผิวสวยด้วยธรรมชาติ
ผู้หญิงทุกคนต้องการเป็นเจ้าของเรือนร่างและผิวพรรณที่สดใส จึงได้พยายามแสวงหาเทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นเครื่องดูแลผิว แต่ความจริงแล้วเคล็ดลับต่างๆ นั้นหาได้จากธรรมชาติรอบๆ ตัวเรานี่เอง เพียงแต่ต้องใส่ใจกับผิวพรรณ แล้วเราจะได้เป็นเจ้าของสุขภาพที่ดีไปด้วย


9 โซนสำคัญ กับสุขภาพผิวหน้า

ศาสตร์ของจีนโบราณเชื่อว่า ปัญหาสภาพผิวหน้าจากภายนอกสามารถสะท้อนถึงสุขภาพของระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ ดังนั้น เทรนด์ใหม่ของการบำรุงผิวหน้าที่เรียกว่า “เฟส แม็ปปิ้ง” จึงเน้นวิเคราะห์สุขภาพผิวหน้าควบคู่ไปกับปัญหาของสุขภาพร่างกายด้วยเช่นกัน โดยแบ่งความสัมพันธ์ของผิวหน้าและระบบต่างๆ ทั่วร่างกายออกเป็น 9 โซน

“หน้าผาก” สัมพันธ์กับระบบการย่อยอาหารและกระเพาะปัสสาวะ หากผิวบริเวณนี้เกิดสิวอักเสบ หรือผิวหน้าแห้งกร้านบ่อยๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย พร้อมทั้งหมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

“คิ้ว” สัมพันธ์กับการทำงานของตับ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดบริเวณนี้มักเป็นปัญหาสิวอุดตัน ซึ่งเกิดจากการพักผ่อนน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือทานอาหารที่มีไขมันสูง

“ใบหู” สัมพันธ์กับการทำงานของไต ถ้าใบหูแดงหรือร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ และลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์

“แก้ม” สัมพันธ์กับระบบทางเดินหายใจและปอด คนที่ชอบสูบบุหรี่หรือมีอาการภูมิแพ้ มักพบว่ามีอาการเส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวหน้าบริเวณนี้หมองคล้ำ

“ดวงตา” สัมพันธ์กับการทำงานของไต ปัญหาผิวที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นเรื่องรอบดวงตาคล้ำ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการขาดน้ำของร่างกายและระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปรกติ

“จมูก” และ ”ริมฝีปาก” สัมพันธ์กับความดันโลหิต ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวบวมแดง บริเวณจมูกและริมฝีปาก ดังนั้น ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้มาก เพื่อปรับสภาพความดันโลหิตของร่างกายให้เป็นปรกติ

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำวุ้นกะทิ


วุ้นกะทิ


ส่วนผสม
วุ้นชนิดเส้นแช่น้ำจนนิ่ม 3 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 5-6 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อมข้นๆ 11/2 ถ้วยตวง
(ใช้น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1/2 ถ้วยตวง)
กะทิคั้นข้นๆ 11/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
สีใส่อาหาร หรือน้ำใบเตย
พิมพ์วุ้น หรือกระทงเล็กๆ ประมาณ 70 กระทง

วิธีทำ
1. นำวุ้นที่แช่น้ำไว้ต้มกับน้ำเปล่าทั้งหมด(ใช้น้ำ 5 ถ้วยตวง)ต้มจนวุ้นละลายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่ง ใส่น้ำใบเตยหรือสีและน้ำเชื่อมลงไป ส่วนที่สองใส่กะทิและเกลือ

2. นำวุ้นเส้นที่หนึ่งไปตั้งไฟเคี่ยวสักครู่เทใส่พิมพ์หรือถ้วยประมาณครึ่งพิมพ์ทิ้งไว้สักครู่ให้หน้าตึงอย่าถึงกับวุ้นแข็งเพราะจะทำให้หน้าและตัวไม่ติดกัน

3. นำส่วนผสมที่สองตั้งไฟคอยคนพอเดือดเทลงบนวุ้นที่เทไว้ ทิ้งไว้จนแข็งตัวนำเข้าตู้เย็น

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

วิธีทำอาหารเมนูผัดเปรี้ยวหวานไก่


วิธีทำอาหารเมนูผัดเปรี้ยวหวานไก่

วิธีทำอาหารเมนูผัดเปรี้ยวหวานไก่

ส่วนผสมวิธีทำอาหารเมนูผัดเปรี้ยวหวานไก่มีดังนี้
1.เนื้อไก่ปริมาณตามใจชอบ
2.ผักที่จะใช้มี แตงกวา ต้นหอม มะเขือเทศ พริกเหลือง
3.ซอสมะเขือเทศ
4.กระเทียมสับ
5.น้ำปลา
6.สัปรส
7.น้ำตาลทราย

วิธีการทำอาหารเมนูผัดเปรี้ยวหวานไก่
ตั้งกะทะ ใส่น้ำมันชืพ ใส่กระเทียมสับผัดกระเทียมให้หอม กระเทียมเหลืองแล้วก็ใส่ไก่ลงไป ใส่น้ำปลาไปนิดหน่อยผัดให้ไก่สุกๆแล้วก็ใส่ผักที่เตรียมไว้ (ผักนี่ก็แล้วแต่คนชอบๆทานผักอะไรก็ใส่ไป) ใส่สัปรสลงไป ผัดผักให้สุกไม่ต้องสุกมากเดี๋ยวผักจะเละ ถ้าใครชอบเละก็ผัดให้สุกเลย ใส่ซอสมะเขือเทศ ใส่น้ำเปล่าลงไปนิดนึง แล้วก็ปรุงรสใส่น้ำปลาอีกนิดนึง น้ำตาลทรายนิดนึง ผัดสักพักนึงให้สุก ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จาน

การทำขนมฝอยทอง



ฝอยทอง
ส่วนผสม
น้ำเชื่อม, ไข่เป็ด, น้ำตาลทราย, น้ำค้างไข่, น้ำลอยดอกมะลิ,ไข่ไก่

วิธีทำ
1. น้ำตาลทราย น้ำ ตั้งไฟพอเดือดน้ำตาลละลาย
2. ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง ตั้งไฟเคี่ยวต่อ
3. ให้น้ำเชื่อมมีลักษณะไม่ข้นหรือใสเกินไป เหมาะสำหรับโรยฝอยทอง
4. ตอกไข่ แยกไข่ขาวออกใช้แต่ไข่แดง และเก็บน้ำไข่ขาวที่ใสไม่เป็นลิ่ม เรียกน้ำค้างไข่
5. นำไข่แดงใส่ผ้าขาวบางรีดเยื่อไข่ออก ผสมไข่แดงกับน้ำค้างไข่ตามส่วน คนให้เข้ากัน
6. เตรียมกระทะทองใส่น้ำเชื่อมเดือด ๆ ไว้ ทำกรวยด้วยใบตอง หรือใช้กรวยโลหะใส่
7.ไข่แดงโรยในน้ำเชื่อมเดือด ๆ ไปรอบ ๆ ประมาณ 20-30 รอบ เส้นไข่สุกใช้ไม้แหลม
8. สอยขึ้นจากน้ำเชื่อม พับเป็นแพ อบด้วยควันเทียนหลังจากเย็นแล้ว

การทำยำส้มโอ


วิธีทำอาหารเมนูยำส้มโอ (How to Make Pomelo Salad)
ส่วนผสมวิธีทำอาหารเมนูยำส้มโอ (How to Make Pomelo Salad)
1.ส้มโอเกะป่น
2.พริกแห้งคั่ว
3.หอมแดงซอย
4.กุ้งต้มสุก
5.กระเทียม
6.ถั่วคั่วบดหยาบ
7.น้ำตาลมะพร้าว
8.น้ำปลา
9.เนื้อมะพร้าวซอยคั่ว
10.กระเทียมเจียว
11.น้ำพริกเผา
12.น้ำมะขามเปียก
13.หัวกะทิ
14.กุ้งแห้งป่น

วิธีการทำอาหารเมนูยำส้มโอ (How to Make Pomelo Salad)
เริ่มต้นโดยการเตรียมน้ำยำ นำน้ำตาลมะพร้าวใส่ในชามหรือกระละมัง ใส่น้ำปลา+น้ำมะขามเปียก+น้ำพริกเผา+หัวกะทิ เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วก็ผสมทุกอย่างจนเข้ากัน ชิมรสชาติตามใจชอบ เสร็จแล้วก็นำเนื้อส้มโอที่เกะแล้วใส่ในชามหรือกระละมังอีกใบ ตามด้วยเนื้อกุ้ง+หอมแดงซอย+น้ำยำที่ทำเสร็จเมื่อสักครู่ จากนั้นก็คลุกเคล้าจนเข้ากัน จากนั้นก็ใส่กุ้งแห้งป่น+กระเทียมเจียว+มะพร้าวคั่ว+ถั่วคั่ว ผสมทุกอย่างให้เข้ากันเสร็จ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ปลาหมอสี

ปลาหมอสี




ปลาหมอสีเป็นปลาน้ำจืดจัดอยู่ในวงศ์ Cichlidae พวกเดียวกับปลานิล ปลาหมดเทศ ปลาออสการ์ ปลาปอมปาดัวส์ เป็นปลาที่เลี้ยงได้ง่าย อดทน มีพฤติกรรมที่หลากหลาย ถ้าผู้เลี้ยงไม่เข้าใจพฤติกรรมของปลาหมอสีก็จะทำให้ตายได้ง่าย ฉะนั้น ก่อนเลี้ยงก็ควรศึกษาหาอ่านจากตำราการเลี้ยงปลาหมอสีก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้มีหนังสือเกี่ยวกับปลาหมดสีทั้งเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษอยู่มากมาย ผู้เลี้ยงที่เพิ่งเริ่มต้นก็หาซื้อปลาที่มีราคาถูกหน่อยเลี้ยงหาประสบการณ์ก่อน แล้วค่อยไปซื้อชนิดราคาแพงเมื่อมีความสามารถมากขี้นแล้ว
แหล่งกำเนิดปลาหมอสี
ปลาหมอสีเป็นปลาที่กำลังเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาบ้านเรา แรกทีเดียวก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดเอเชียนั้น ได้รับความสนใจและนิยมเลี้ยงกันในแถบอเมริกา ยุโรปกันก่อนแล้ว เพราะเป็นปลาตู้ที่เลี้ยงง่าย มีสีสันโดดเด่น สวยงาม และแปลกตา
ปลาหมอสีมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ตามลุ่มน้ำหรือทะเลสาบในต่างประเทศ มีนิสัยค่อนข้างรักถิ่นฐาน หากมีปลาอื่นบุกรุกเข้ามาในเขตของมัน มันก็จะขับไล่ผู้บุกรุกออกไป
มาลาวี
เป็นทะเลสาบน้ำจืดในทวีปแอฟริกา มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก พื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่เป็นหาดทรายหรือทรายเลนที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุม หาดทรายจะอยู่สลับกับชายฝั่งที่เป็นโขดหิน มีความโปร่งใสของน้ำติดอันดับโลก ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 7.8 - 8.5 มีปลาประมาณ 500 ชนิด ปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวไม่มีการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ จากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้แพทเทิร์นของสีปลาแตกต่างกันจึงส่งผลให้มีประชากรหลากหลาย เช่น ปลาหมอมาลาวีสีน้ำเงิน จะมีสีน้ำเงินล้วน น้ำเงินปนเหลืองจนถึงเหลืองล้วนทั้งตัว ปลาหมอสีในทะเลสาบมาลาวีมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มนอนเอ็มบูนา มีประมาณ 250 ชนิด 38 สกุล การจำแนกสกุลโดยใช้แพทเทิร์นของเมลานิน (เม็ดสีประเภทสีดำที่อยู่ในผิวหนังของปลา) เป็นหลัก ความยาวโดยเฉลี่ย 15 เซนติเมตร เช่น ปลาหมอคริสตี้ ปลาหมอมาลาวีเหลือง ปลาหมอมาลาวีน้ำเงินคอแดง ปลาหมอมาลาวีน้ำเงิน ปลาหมอรอสตราตัส ปลาหมออิเล็กทริกบลู เป็นต้น
กลุ่มเอ็มบูนา มี 250 ชนิด 10 สกุล การจำแนกสกุลใช้ลักษณะของฟันเป็นหลัก เป็นปลาที่มีสีสวยสะดุดตาความยาว 10-12 เซนติเมตร เช่น ปลาหมอกล้วยหอม ปลาอีสเทิร์นบลู ปลาหมอดีมาสัน ปลาหมอลิลลี่



แทนแกนยีกา
เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 และมีความลึกเป็นอันดับสองของโลก ระดับอุณหภูมิสูงประมาณ 26 องศาเซลเซียสเกือบตลอดทั้งปี ความเป็นกรดเป็นด่างจะอยู่ระหว่าง 8.8-9.3 จากระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการปะปนประชากรปลาในกลุ่มต่างๆ และจากการปรับตัวจึงเกิดปลาชนิดใหม่ซึ่งความสามารถดังกล่าวมีเหตุผล 3 ประการคือ
• 1. ปลาหมอสีอาศัยอยู่ในน้ำจืดได้ดีและสามารถทนต่อน้ำเค็มได้ดี
• 2. ปลาหมอสีมีอวัยวะพิเศษที่สามารถเก็บกักปริมาณออกซิเจนได้นาน ทำให้ไม่ต้องโผล่ฮุบน้ำบ่อย ๆ และลูกปลาวัยอ่อนสามารถอยู่ในน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ
• 3. ปลาหมอสีมีการดูแลลูก อมไว้ในปากของแม่ปลา ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลอดภัยที่สุด ปลาหมอสีที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแทนแกนยีกา เช่น ปลาหมอฟรอนโตซ่า ปลาหมอแซงแซว ปลาหมอดูบอยซี่ ปลาลองจิออร์

วิกตอเรีย
เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภูมิอากาศอยู่ในเขตศูนย์สูตร มีความลึก 60-100 เมตร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาในระดับต่าง ๆ ประมาณ 300 ชนิด แต่เนื่องจาก ปี พ.ศ. 2493 และ พ.ศ. 2503 ได้มีการนำปลาสกุลกะพงขาวจากแม่น้ำไนล์ไปปล่อยในทะเลสาบวิกตอเรีย ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ปลากะพงขาวได้ออกลูกหลานแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและจับปลาหมอสีวิกตอเรียกินเป็นอาหารหลัก ซึ่งส่งผลให้ปลาหมอวิกตอเรียสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 100 ชนิด สำหรับปลาที่ยังคงมีอยู่ได้แก่ ปลาหมออ๊อบลิคิวเดนซ์ ปลาหมอในเออร์รี ปลาหมอบราวนี
อเมริกากลางและอเมริกาใต้
ปลาหมอสีในภูมิภาคนี้มีรูปร่าง วิถีชีวิตและพฤติกรรมแตกต่างไปจากหมอสีมาลาวี หมอสีแทนแกนยีกา และวิกตอเรีย สำหรับปลาในกลุ่มอเมริกากลาง ได้แก่ ปลาหมอริวูเลตัส ปลาหมอบราซิเบียน ปลาหมอหมอคาพินเต้ หรือกรีนเท็กซัส ปลาหมอฟลามิงโกหรือเรด เดฟเวิล ปลาหมอมาคู ปลาหมอตาแดง
สายพันธุ์ปลาหมอสี

สายพันธุ์ปลาหมอสี



• ปลาหมอสีสกุลแอริสโทโครมิส
• ปลาหมอสีสกุลออโลโนคารา
• ปลาหมอสีสกุลโคพาไดโครมิส
• ปลาหมอสีสกุลลาบิโอโทรเฟียส
พันธุกรรมของปลาหมอสี
พันธุกรรมของปลาหมอสีที่มีผลต่อการควบคุมพัฒนาการของลักษณะต่างๆ ที่เรียกว่า ยีน การรวมของยีนจะประกอบด้วยยีนจากพ่อและแม่ของสัตว์แต่ละชนิด การผ่าเหล่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งมีผลแสดงออกมาให้เห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลักษณะทางโครงสร้างและสีสัน เช่น การเกิดเป็นสีเผือก จุดสีหรือจุดสีอื่นๆ ที่แปลก ออกไป โดยทั่วไปเป็นที่ยอมรับกันว่า กลุ่มปลาหมอสีมีความสำคัญของการจำคู่ของตน แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติจะเป็นตัวทำให้เกิดความสมดุลในกลุ่มของมันเอง ในกรณีการเกิดเลือดชิด ก่อให้เกิดปลาชนิดใหม่
อาหาร
ปลาหมอสีสามารถปรับตัวได้ดีกินอาหารได้ทุกประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมไขมันจากเนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะไปทำลายตับของปลาเหล่านี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาที่เลี้ยงตาย ฉะนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงควรมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกับอาหารธรรมชาติมากที่สุด ปลาหมอสีกินพืช ควรเลี้ยงอาหารปลากินพืช พวกปลากินสัตว์ เช่น กุ้ง ไรน้ำเค็ม หรืออาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงกับอาหารสำเร็จรูปที่ใช้โดยทั่วไปควรมีส่วนประกอบของกากถั่ว กุ้ง สาหร่ายเกลียวทอง ปริมาณอาหารไม่ควรให้เกินความต้องการของปลา จะทำให้ปลาอ้วนและอ่อนแอ ในกรณีเลี้ยงเพื่อการเพาะพันธุ์ ถ้าให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาไม่มีไข่และน้ำเชื้อ
ธรรมชาติของปลาหมอสีเป็นปลาที่อดทน สามารถอดอาหารนับสิบวัน หากท่านไม่อยู่บ้าน 5 - 10 วัน ปลาก็สามารถอยู่ได้อย่างปกติ แม้ว่าในแหล่งน้ำธรรมชาติมีอาหารจำกัด โดยเฉพาะแม่ปลาที่ฟักไข่ด้วยปาก ต้องอมไข่จนไข่ฟักเป็นตัว และอมต่อไปจนกระทั่งลูกปลาสามารถว่ายน้ำออกจากปาก เพื่อหากินอาหารต่อไป ซึ่งใช้เวลาอีก 15-20 วัน ในระยะนี้แม่ปลาจะไม่กินอาหารใดๆ ทั้งสิ้น
การเพาะเลี้ยงปลาหมอสี
ปลาหมอสีเป็นปลาสวยงามอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น จากนักเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเป็นงานอดิเรกถึงแม้ว่าปลากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นปลานำเข้าจากทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศอเมริกากลาง จัดอยู่ในวงศ์ชิลคลิดี การแพร่กระจายของปลาวงศ์นี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมดังเช่น ลักษณะภูมิประเทศประกอบด้วยทะเลสาบ แม่น้ำลำธาร หนองบึง จึงส่งผลให้ปลามีความหลากหลายทั้งชนิด สายพันธุ์ รูปร่าง และการดำรงชีวิต ซึ่งมีทั้งปลาบริโภคและปลาสวยงาม ได้แก่ ปลานิล ปลาหมอเทศ ปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา ปลาออสการ์ ฯลฯ ปลาเหล่านี้สามารถปรับตัวได้ดี จัดเป็นปลาเลี้ยงง่าย



หลักทั่วไปในการเลี้ยงหมอสี
• 1. น้ำต้องสะอาดไม่ควรมีเชื้อโรค ห้ามใช้น้ำประปาที่เปิดจากก๊อกน้ำโดยตรง เฉพาะคลอรีนและปูนที่อยู่ในน้ำจะฆ่าปลาได้ในเวลาอันรวดเร็วควรพักน้ำประปาไว้สัก 2-3 วันจึงนำมาใช้
• 2. ใช้เครื่องกรองน้ำซึ่งหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลือกให้เหมาะกับขนาดของตู้
• 3. ขนาดของตู้เลี้ยงควรจะใหญ่สักหน่อย ถ้าเลี้ยงพวกหมอสีพันธุ์เล็ก ความยาวของตู้ไม่ควรต่ำกว่า 24 นิ้ว ถ้าเป็นพันธุ์ใหญ่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 นิ้ว ควรมีสัก 2 ตู้ เพื่อเป็นตู้พักปลา 1 ตู้ ตู้เลี้ยง 1 ตู้
• 4. อาหารปลาหมอสีกินอาหารสำเร็จรูปได้ดี ซึ่งเราหาซื้อได้ทั่วไปแต่ถ้าที่บ้านใกล้แหล่งเพาะยุงหรือใกล้บริเวณที่มีลูกน้ำลูกไรมาก และหาได้สะดวกก็ให้ลูกน้ำ ลูกไร เป็นอาหารจะดีมากทั้งประหยัดเงินและมีอาหารที่มีคุณค่าดี
• 5. ก้อนหิน ก้อนกรวด พันธุ์ไม้น้ำที่เราคิดว่าจะจัดลงไปในตู้นั้นควรจะทำความสะอาดให้ดี ก้อนหินก็ควรจะแช่น้ำลดความเป็นด่างลงพันธุ์ไม้น้ำก็ควรจะพักไว้ในถังหรือตู้อื่นๆ รอจนมันฟื้นตัวได้แล้วค่อยนำมาจัดในตู้
• 6. ตู้ปลาควรจะตั้งอยู่ใกล้กับที่พักน้ำเพื่อเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาได้สะดวก ปัญหานี้ดูเหมือนเล็กแต่ก็มีหลายๆรายที่เลิกเลี้ยงปลา เพราะต้องเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาบางรายถึงขั้นทะเลาะกันเพราะเกี่ยงกันเปลี่ยนน้ำตู้ปลา บางรายถูกคำสั่งห้ามเลี้ยงหลังจากการเปลี่ยนน้ำตู้ปลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลาบริเวณระหว่างที่พักน้ำกับตู้ปลาจะกลายเป็นเขตอันตรายสูงสุดต่อชีวิตของคนแก่และเด็ก รวมทั้งสตรีมีครรภ์ไปในทันที การลื่นหกล้มในบริเวณนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมาก
• 7. เวลา ถ้าคุณต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและกลับถึงบ้านประมาณไม่ถึงสี่ทุ่มดีในวันปกติ วันเสาร์ต้องตื่นสิบโมงเช้าเพื่อนอนชดเชยพอตื่นก็ต้องทำงานบ้านจิปาถะที่ค้างตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ แล้วก็ขอแนะนำว่าไปปลูกต้นไม้ดีกว่าเพราะปลาที่คุณเลี้ยงไว้นั้นมันพากันตายหมดแล้ว ก่อนเลี้ยงปลาต้องถามตัวเองก่อนว่ามีเวลาไหม และคนรอบข้างจะยินดีไหมที่คุณจะเลี้ยงปลา เพราะคนรอบข้างนั้นก็คือคนงานของคุณขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลา ถ้าเกิด คนงานสไตรท์ขณะเปลี่ยนน้ำไปได้ครึ่งเดียว ภาระทั้งหมดก็จะอยู่ที่คุณคนเดียวจริงๆ




เมื่อหลัก 7 ประการนี้คุณแก้ปัญหาได้แล้ว คราวนี้ก็เริ่มลงมือเลี้ยงกันได้ สมมุติว่าตู้ปลาจัดตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ตำราก็อ่านแล้วมีความมั่นใจ 100% ถุงใส่ปลาถูกแกะออกปลาฝูงแรกถูกปล่อยลงตู้แล้วทุกตัวพร้อมใจกันว่ายเข้าหาที่ซ่อน ไม่ต้องตกใจนั่นเป็นสัญญาณของปลา สักครู่ตัวที่กล้าหน่อยหรือตกใจน้อยหน่อยจะเริ่มว่ายน้ำสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ ตัวอื่นๆก็จะตามมาที่มีนิสัยรวมฝูงก็จะรวมกัน บางตัวก็ว่ายเที่ยวแล้วแต่ชนิดและนิสัยของแต่ละตัวไม่ต้องให้อาหารวันที่สองเมื่อปลาส่วนใหญ่สงบลงแล้วเริ่มให้อาหารเล็กน้อยเป็นอาหารมีชีวิตได้ก็ดีถ้าไม่มีอาหารเม็ดก็ได้ ให้น้อยๆดูจนกว่าปลาจะกินอาหารเม็ดหมด ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง ถ้ามีเศษอาหารเหลือก็ให้ตักออกทิ้งไป สัปดาห์แรกผ่านไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองกะประมาณอาหารที่ให้ปลาได้ดีขึ้น
อาหารที่ให้ไม่ค่อยเหลือซึ่งจะดีมากน้ำจะใสไม่เสีย ถ้ามีปลาตายก็รีบตักออกไปจากตู้โดยเร็ว สังเกตุด้วยว่าตายสภาพอย่างไร ถ้าครีบขาดรุ่งริ่งแสดงว่ามันกัดกัน แยกตัวที่ก้าวร้าวออกไปใส่ไว้ในตู้พักปลา ถ้าภายในสภาพตัวยังสมบูรณ์ก็เกิดจากหลายสาเหตุ และตายติดต่อกันทุกวันก็ต้องเปิดตำราและถามผู้รู้แล้วละ สัปดาห์ที่สอง-สาม-สี่ ปลาก็จะเริ่มคุ้นกับคุณแล้วละมันจะเริ่มมาหาคุณไม่กลัวคุณ ยิ่งคุณอยู่ดูมันมากเท่าใดมันก็จะยิ่งคุ้นกับคุณมากขึ้นเท่านั้น การสื่อสารระหว่างคุณกับปลาก็จะยิ่งรู้เรื่องกันมากขึ้น

ขนมไทย

ขนมไทย
ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆประวัติควในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต[1]
ขนมไทยแต่ละภาค
ขนมไทยภาคเหนือ
ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือบทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้าม
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด
ขนมไทยภาคกลาง
ส่วนใหญ่ทำมาจากข้าวเจ้า เช่น ข้าวตัง นางเล็ด ข้าวเหนียวมูล และมีขนมที่หลุดลอดมาจากรั้ววัง จนแพร่หลายสู่สามัญชนทั่วไป เช่น ลูกชุบ หม้อข้าวหม้อแกง ฝอยทอง ทองหยิบ เป็นต้น
ขนมไทยภาคอีสาน
เป็นขนมที่ทำกันง่ายๆ ไม่พิถีพิถันมากเหมือนขนมภาคอื่น ขนมพื้นบ้านอีสานได้แก่ ข้าวจี่ บายมะขามหรือมะขามบ่ายข้าว ข้าวโป่ง นอกจากนั้นมักเป็นขนมในงานบุญพิธี ที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน โดยชาวบ้านนำข้าวที่ห่อใบตอง มัดด้วยตอกแบบข้าวต้มมัด กระยาสารท ข้าวทิพย์ ข้าวยาคู ขนมพื้นบ้านของจังหวัดเลยมักเป็นขนมง่ายๆ เช่น ข้าวเหนียวนึ่งจิ้มน้ำผึ้ง ข้าวบ่ายเกลือ คือข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนจิ้มเกลือให้พอมีรสเค็ม ถ้ามีมะขามจะเอามาใส่เป็นไส้เรียกมะขามบ่ายข้าว น้ำอ้อยกะทิ ทำด้วยน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียว ใส่ถั่วลิสงคั่วและมะพร้าวซอย ข้าวพองทำมาจากข้าวตากคั่วใส่มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นๆ และถั่วลิสงคั่ว กวนกับน้ำอ้อยจนเหนียวเทใส่ถาด ในงานบุญต่างๆจะนิยมทำขนมปาด (คล้ายขนมเปียกปูนของภาคกลาง) ลอดช่อง และขนมหมก (แป้งข้าวเหนียวโม่ ปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้กระฉีก ห่อเป็นสามเหลี่ยมคล้ายขนมเทียน นำไปนึ่ง)

ขนมไทยภาคใต้
ชาวใต้มีความเชื่อในเทศกาลวันสารท เดือนสิบ จะทำบุญด้วยขนมที่มีเฉพาะในท้องถิ่นภาคใต้เท่านั้น เช่น ขนมลา ขนมพอง ข้าวต้มห่อด้วยใบกะพ้อ ขนมบ้าหรือขนมลูกสะบ้า ขนมดีซำหรือเมซำ ขนมเจาะหูหรือเจาะรู ขนมไข่ปลา ขนมแดง เป็นต้น
ตัวอย่างของขนมพื้นบ้านภาคใต้ได้แก่
• ขนมหน้าไข่ ทำจากแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำตาล นำไปนึ่ง หน้าขนมทำด้วย กะทิผสมไข่ น้ำตาล เกลือ ตะไคร้และหัวหอม ราดบนตัวขนม แล้วนำไปนึ่งอีกครั้ง
• ขนมฆีมันไม้ เป็นขนมของชาวไทยมุสลิม ทำจากมันสำปะหลังนำไปต้มให้สุก โรยด้วยแป้งข้าวหมาก เก็บไว้ 1 คืน 1 วันจึงนำมารับประทาน
• ขนมจู้จุน ทำจากแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำเชื่อม แล้วเอาไปทอด มีลักษณะเหนียวและอมน้ำมัน
• ขนมคอเป็ด ทำจากแป้งข้าเจ้าผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดรวมกับไข่ไก่ รีดเป็นแผ่น ตัดเป็นชิ้นๆ เอาไปทอด สุกแล้วเอาไปเคล้ากับน้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนเหนียวข้น
• ขนมคนที ทำจากใบคนที ผสมกับแป้งและน้ำตาล นึ่งให้สุก คลุกกับมะพร้าวขูด จิ้มกับน้ำตาลทราย
• ขนมกอแหละ ทำจากแป้งข้าวเจ้ากวนกับกะทิและเกลือ เทใส่ถาด โรยต้นหอม ตัดเป็นชิ้นๆ โรยหน้าด้วย มะพร้าวขูดคั่ว กุ้งแห้งป่น และน้ำตาลทราย
• ขนมก้านบัว ทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุก นำไปโขลกด้วยครกไม้จนเป็นแป้ง รีดให้แบน ตากแดดจนแห้ง ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอดให้สุก ฉาบด้วยน้ำเชื่อม
• ข้าวเหนียวเชงา เป็นข้าวเหนียวนึ่งสุก ตำผสมกับงาและน้ำตาลทราย
• ข้าวเหนียวเสือเกลือก คล้ายข้าวโพดคลุกของภาคกลางแต่เปลี่ยนข้าวโพดเป็นข้าวเหนียวนึ่งสุกและใส่กะทิด้วย
• ขี้หมาพองเช มีลักษณะเป็นก้อนๆ ทำจากข้าวเหนียวคั่วสุกจนเป็นสีน้ำตาล ตำให้ละเอียดเคล้ากับมะพร้าวขูด น้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนข้น เคล้าให้เข้ากันดี แล้วปั้นเป็นก้อน